วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 1
บทนำ
1.1 ที่มาและความสำคัญ
เนื่องจากในแต่ละภูมิภาคมีภาษาถิ่นเป็นของตัวเองและมีความแตกต่างกัน เช่น การเรียกชื่อสัตว์ สิ่งของเครื่องใช้ กาแสดงอารมณ์ ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้เข้าใจความหมายไม่ตรงกัน และทำให้เกิดความสับสนของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น เพราะว่าใช้ภาษาพูดไม่เหมือนกัน ดังนั้นผู้จัดทำจึงอยากเสนอภาษาถิ่นของภาคใต้ใน7อำเภอของจังหวัดสตูลที่ใช้เรียกชื่อผลไม้    ผัก สมุนไพร และเครื่องครัว ซึ่งจังหวัดสตูลเป็นถิ่นที่อยู่ของผู้จัดทำเองด้วย และเพื่อต้องการให้ผู้ที่ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้หรือผู้ที่ไม่เข้าใจภาษาถิ่นใต้ได้เข้าใจถึงความหมายที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้นำไปใช้ประโยชน์ในการสนทนาในชีวิตประจำวันหรือการเรียนการทำงาน
1.2 วัตถุประสงค์
              1.2.1 เพื่ออธิบายความหมายของภาษาถิ่นภาคใต้จังหวัดสตูล
1.2.2 เพื่อทำให้เข้าใจภาษถิ่นภาคใต้ของจังหวัดสตูลมากยิ่งขึ้น
1.2.3 เพื่ออนุรักษ์มรดกทางภาษาของท้องถิ่นภาคใต้ไว้
1.2.4 เพื่อรวบรวมคำศัพท์การเรียกชื่อผลไม้    ผัก สมุนไพร และเครื่องครัว ใน 7 อำเภอของจังหวัดสตูลให้ได้มากที่สุด
1.3 ขอบเขตการศึกษา
1.3.1 ศึกษาภาษาถิ่นภาคใต้จากชาวบ้านและผู้สูงอายุในท้องถิ่นและเพื่อนๆในห้อง 4/1 ที่มีบ้านอยู่ใน 7 อำเภอของจังหวัดสตูลรวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและหนังสือ
1.3.2 ระยะเวลาในการทำการศึกษาค้นคว้าและจัดทำโครงงานระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2558
       1.3.3 ผู้ศึกษาจะสำรวจเฉพาะชื่อที่ใช้เรียก ผัก ผลไม้ สมุนไพรและเครื่องครัว จำนวน 100 ชนิดเท่านั้น

1.4    ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
       1.4.1ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง  จากผู้รู้ในท้องถิ่น
1.4.2 เข้าใจภาษาถิ่นของภาคใต้ใน 4 จังหวัดชายแดนใต้มากยิ่งขึ้น
   1.4.3 สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและการเรียน
   1.4.4 อนุรักษ์และสืบสานมรดกวัฒนธรรมภาคใต้
1.4.5 ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.1 ผลไม้
ผลไม้ หมายถึง ผลที่เกิดจากการขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศของพืชบางชนิด ซึ่งมนุษย์สามารถรับประทานได้ และส่วนมากจะไม่ทำเป็นอาหารคาว ตัวอย่างผลไม้ เช่น ส้ม แอปเปิ้ล กล้วย มะม่วง ทุเรียน รวมถึง มะเขือเทศ ที่สามารถจัดได้ว่าเป็นทั้งผักและผลไม้
ผลไม้ = ผล + ไม้
คำนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่า สิ่งที่เป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตจำพวกพืช โดยลักษณะรวมๆ จะมีรูปทรงคล้ายทรงกลมหรือทรงรี ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันบ้างตามสายพันธุ์ โดยปกติผลไม้จะต้องมีเปลือกหรือมีสิ่งที่ห่อหุ้มเนื้อที่อยู่ข้างใน ซึ่งมักจะถูกนำไปเป็นอาหารโดยมนุษย์หรือสัตว์
ในส่วนของการเจริญเติบโต สามารถขยายพันธุ์ได้โดยดอก เมล็ด หรือ อื่นๆ ซึ่งผลไม้ที่ออกมานี้ตอนแรกจะมีขนาดเล็กและมักจะไม่ค่อยถูกนำมารับประทานโดยมนุษย์ แต่เมื่อเติบโตจนสุกงอม จะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิม คือ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอม และรสหวาน เป็นต้น จนสามารถนำมารับประทานหรือประกอบอาหาร ส่วนมากมักจะเป็นอาหารหวาน
ถ้าผลไม้สุกงอมเต็มที่จะมีลักษณะที่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้น้อยลง เช่น เน่าเสีย บูด ขึ้นรา เป็นต้น และจะหลุดร่วงจากต้นลงสู่พื้นดินหรือพื้นน้ำ กลายเป็นอาหารให้แก่ห่วงโซ่อาหารลำดับถัดไป เช่น แบคทีเรีย จุรินทรีย์ จนกลายเป็นอินทรียธาตุหรืออนินทรียธาตุ หมุนเวียนเป็นวัฏจักรต่อไป
การที่จะบอกได้ว่าเป็นผลไม้อะไรนั้น จำเป็นต้องมีสิ่งบ่งชี้อื่นๆ ประกอบหลายอย่าง เช่น เปลือกมีลักษณะเป็นหนามและแข็ง เนื้อข้างในสีเหลือง หมายถึง ทุเรียน เป็นต้น
2.1.1 คุณค่าทางโภชนาการของผัก
ผักส่วนใหญ่จะมีพลังงานและโปรตีนต่ำ ในผักไม่มีวิตามินเอ แต่มีโปรวิตามินเอ เช่น แคโรทีน ซึ่งมีสีส้มเข้ม เมื่อคนกินเข้าไปแล้ว จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่ลำไส้เล็ก โพรวิตามิน เอมีมากในผักใบเขียว ผักสีส้มหรือแดง วิตามินซีมีมากในผักใบเขียว เชเน พริกหยวก มะรุม ฯลฯ นอกจากวิตามินเอและซีแล้ว ผักส่วนใหญ่จะมีวิตามินบี1และไนอะซินน้อย ผักใบเขียวยังให้แคลเซียมและเหล็ก แต่ผักใบเขียวบางชนิดเช่น ผักโขม และใบพลู มีกรดออกซาลิค เมื่อรวมตัวกับแคลเซียมแล้ว จะทำให้แคลเซียมไม่ถูกดูดซึม  ผักส่วนใหญ่แทบไม่มีโปรตีนและไขมันเลย คาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในผักได้แก่ แป้ง กลูโคส เซลลูโลส และสารประกอบจำพวกเพคติน เซลลูโลส เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปแล้ว จะไม่สามารถย่อยได้ แต่จะถูกถ่ายออกมาเป็นกากอาหารได้ ช่วยป้องกันโรคท้องผูก ผักมีน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ ผักใดที่มีน้ำมากจะมีคาร์โบไฮเดรตน้อย ผักใบเขียวที่มีเซลลูโลสมากก็ให้พลังงานต่ำ เราสามารถกินผักใบเขียวได้อย่างไม่จำกัดปริมาณ
2.1.2โครงสร้างของผักและผลไม้
เนื้อเยื่อของพืชประกอบด้วยเซลล์หลายชนิด ส่วนที่กินได้เรียกว่า เซลพาเรนไคมา เซลล์นี้มีอยู่ทั่วไปในผัก ผล หรือลำต้นที่ยังอ่อนอยู่ มีลักษณะเป็นรูปหลายเหลี่ยมเท่าๆกัน ผนังเซลล์ของพืชหนากว่าของสัตว์ อาจประกอบไปด้วยผนังเซลล์หลายชั้น เซลล์ที่มีอายุน้อยมีผนังเซลล์เพียงชั้นเดียว เมื่อเซลล์โตขึ้นก็อาจมีผนังเซลล์ชั้นที่สองเกิดขึ้นภายใน ผนังเซลล์ชั้นนอกและชั้นในประกอบด้วยเซลล์ลูโลส ภายในเซลล์มีของเหลวเรียกว่า ไซโตพลาสซึม น้ำ นิวเคลียส และสารอื่นๆลอยตัวอยู่ เซลล์พืชแตกต่างจากเซลล์สัตว์คือ มีช่องว่างอยู่ตรงกลางเซลล์เรียกว่า แวคิวโอลภายในช่องว่างนี้มีของเหลวชื่อว่า เซลแซป ซึ่งมีสารที่ละลายน้ำได้ เช่น น้ำตาล เกลือ ฯลฯ ผักที่มาจากส่วนที่เป็นลำต้นของพืช เช่น ผักกระเฉด มีเซลล์ที่ประกอบกันเป็นท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุจากรากสู่ใบ และมีเซลล์ที่ประกอบกันเป็นท่อลำเลียงอาหารไปยังเซลล์ต่างๆของพืช ผนังของท่อส่งน้ำนี้ประกอบด้วยเซลลูโลส และมีลิกนินเสริมให้ผนังหนาและแข็งแรงขึ้น ส่วนผนังของท่อมีลิกนินเล็กน้อย บนผิวของผักผลไม้ เช่น เปลือกส้ม จัมีเซลล์อิพิเดอร์มิส มีหน้าที่ป้องกันสิ่งต่างๆ เซลล์เหล่านี้จะมีปากใบทางด้านท้องใบมาก ปากใบสามารถปิดเปิดให้ก๊าซผ่านเข้าออกได้ ในตอนกลางวัน พืชจะสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้รับมาจากอากาศ และคายออกซิเจนและน้ำออกมาสู่ภายนอก ปากใบจึงเปิดกว้าง ในตอนกลางคืนไม่มีการสังเคราะห์แสง มีแต่การหายใจ มีออกซิเจนผ่านเข้าเท่านั้น และคาร์บอนไดออกไซด์ถูกคายออก
2.1.3ส่วนประกอบของผักและผลไม้
เซลลูโลส เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลซับซ้อน ประกอบด้วยกลูโคสจำนวนไม่ต่ำกว่า3,000หน่วย บางทีเรียกว่าน้ำตาลหลายชั้น เซลลูโลสส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเส้นยาว เมื่อถูกต้มแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก ยังคงเป็นใยเหนียวและหยาบอยู่เฮมิเซลลูโลส อยู่ที่ผนังเซลล์ต่างกับเซลลูโลสตรงที่มีโมเลกุลเล็กกว่า ประกอบด้วยน้ำตาลเพนโตส อะราบิโนส และกรดกาแลคตูโรนิค สามารถทำให้แตกตัวด้วยกรดและด่างกว่าเซลลูโลสลิกนิน เป็นสารแกชนิดที่อยู่ที่ผนังเซลล์ของพืช ไม้ยืนต้นประกอบด้วยลิกนินเป็นจำนวนมากลิกนินเป็นโมเลกุลใหญ่ ยังไม่มีข้อมูลทราบโครงสร้างของมันได้แน่ชัด แต่ก็พอจะทราบว่า มีเบนซิน เป็นอนุพันธ์อยู่ด้วย ลิกนินสามารถต้านทานปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาเอนไซม์ และแบคทีเรีย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเมื่อผ่านการหุงต้ม

สารจำพวกเพคติคกรดเพคติค เป็นสารจำพวกน้ำตาลหลายชั้น ประกอบด้วยอนุพันธ์ของกรดกาแลคตูโรนิคโยงกันอยู่ด้วยไกลโคซิดิคบอนด์ กรดเพคติคอยู่ที่เนื้อเยื่อของพืชในรูปของเกลือแคลเซียมและแมกนีเซียมเพคเตค กรดเพคติคสามารถละลายน้ำได้กรดเพคตินิค คล้ายกับกรดเพคติค แต่มีคาร์บอกซิล บางตัวถูกทำให้เป็นเอสเตอร์ อนุพันธ์เมธธิลในพืช กรดเพคตินิคอยู่ในรูปของเกลือแคลเซียมและมกนีเซียมเพคติเรต คำว่า"เพคติน"หมายถึง กรดเพคตินิคที่มีอนุพันธ์เมธธินเป็นจำนวนมาก ไม่ละลายน้ำ แต่สามารถกระจายตัวอยู่ในน้ำได้โปรโตเพคติน เป็นสารจำพวกเพคติคที่ไม่ละลายน้ำ พบในเนื้อเยื่อของพืชที่ยังอ่อนอยู่ โดยเฉพาะในผลไม้ที่ยังไม่แก่จัด
2.1.4 สีของผักและผลไม้
ผักและผลไม้ต่างก็มีสีที่แตกต่างกัน เช่น ผักบางชนิดมีสีเหลือง บางชนิดมีสีเขียว ฯลฯ สีของผักเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อาหารมองดูน่ากิน แต่ถ้าเรานำผักไปผ่านการหุงต้ม สีของผักก็จะเปลี่ยนไป ทำให้อาหารแลดูไม่น่ากิน เพื่อรักษาสีของผักและผลไม้ไว้ เราจึงควรมีความรู้ด้านปฏิกิริยาที่ทำให้สีของผักผลไม้เปลี่ยนแปลงไป
คาโรทีนอยด์ คือเม็ดสีเหลือง แสด ที่ละลายในไขมัน ในผักใบเขียว คาโรทีนอยด์อยู่ในคลอโรพลาสต์ ซึ่งมีคลอโรฟิลล์อยู่ด้วย สีเขียวของคลอโรฟิลล์จะกลบยสีเหลืองของคาโรทีนอยด์จนมองไม่เห็น คาโรทีนอยด์เป็นสารพวกไฮโดรคาร์บอนชนิดไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่ประกอบด้วยคาร์บอน 40 อะตอม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แคโรทีน และเบตาแคโรทีน แคโรทีนมีคุณค่าทางโภชนาการ บางครั้งเรียกว่า โพรวิตามินเอ สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่ลำไส้เล็ก การหุงต้มธรรมดาไม่มีผลต่อสีหรือคุณค่าทางอาหาร คาโรทีนอยด์ไม่ละลายน้ำทำให้เป็นการป้องกันไม่ให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ แต่เนื่องจากโมเลกุลของคารโรทีนอยด์ไม่อิ่มตัว จึงถูกออกซิไดส์ได้ เมื่อทิ้งให้ถูกอากาศนานๆก็จะทำให้สูญเสียวิตามินเอ และทำให้คาโรทีนอยด์ในอาหารตากแห้งเปลี่ยนสี ปฏิกิริยานี้ป้องกันได้โดยการลวกผัก และรมควันกำมะถัน หรือคลุกซัลไฟท์ ก่อนที่จะนำผลไม้นั้นๆไปตากแห้ง
คลอโรฟีลล์ เป็นเม็ดสีที่ให้สีเขียวแก่พืช อยู่ในคลอโรพลาสต์คลอโรฟีลล์ใช้ในการสังเคราะห์แสงของพืช คลอโรฟีลล์ดูดพลังงานจากแสงแดดไว้เพื่อสร้างคาร์โบไฮเดรตจากน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คลอโรฟีลล์เป็นโมเลกุลใหญ่ ในพืชที่ใช้เป็นอาหาร พอคลอโรฟีลล์เอและบีซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับฮีโมโกลบินในเลือด มีข้อต่างคือ ฮีโมโกลบินมีเหล็ก แต่คลิโรฟีลล์มีแมกนีเซียม เมื่อได้รับความร้อนไฮโดรเจนจะเข้าไปแทนที่แมกนีเซียมในโมเลกุลของคลอโรฟีลล์ได้ง่าย จะได้สารที่ชื่อว่าฟิโอไฟตินซึ่งมีสีเขียวอมน้ำตาล เมื่อแมกนีเซียมถูกแทนที่แล้ว จะเติมแมกนีเซียมกลับเข้าไปในโมเลกุลอีกยาก แต่การเติมเกลืออาซีเตค ของเหล็กสังกะสีและทองแดง จะช่วยให้สีเขียวสดใหม่ แต่วิ๊นี้ไม่ใช้กันในการหุงต้มผัก คลอโรฟีลล์ไม่ละลายน้ำ น้ำต้มผักใบเขียวจึงมีสีเขียงเพียงเล็กน้อย  คลอโรฟีลล์ที่บริสุทธิ์สามารถถูกทำลายด้วยไขมัน เมื่อใส่ผักใบเขียวลงในน้ำเดือด จะเขียวสด และดูใสขึ้นเพียงพักเดียว ต่อมาจะกลายเป็นสีอมเหลือง อธิบายได้ว่า ตอนแรกอากาศซึ่งแทรกอยู่ระหว่างเซลล์ร้อนขึ้นจนถูกดันออกมา จึงเห็นสีของคลอโรฟีลล์ได้ชัดขึ้น ต่อมาเซลล์ของผักจะแตก สารที่อยู่ในแวคิวโอลรวมทั้งกรดอินทรีย์จึงแพร่ออกไปทั่วเซลล์ และละลายในน้ำต้มผัก คลอโรฟีลล์ถูกกรดแปรเป็นฟิโอไฟตินสีเขียวอมน้ำตาล เม็ดสีเลืองและสีแสดที่อยู่ในเซลล์ สีเหล่านีรวมทั้งฟิโอไฟติน ทำให้เห็นผักเป็นสีเขียวอมเหลือง
ฟลาโวนอยด์ แม้เม็ดสีหลายชนิดที่จัดอยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์จะมีสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันมาก อาจแบ่งฟลาโวนอยด์ออกเป็นกลุ่ม 3 กลุ่มคือ แอนโธซานติน ซึ่งมีสีเหลืองนวล แอนโธไซยานิน ซึ่งมีสีม่วงแดง และแทนนินที่ไม่มีสี แต่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้ง่าย
ปฏิกิริยาการเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
1. เกิดจากเอนไซม์ เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อที่มีตำหนิเท่านั้น เช่น รอยช้ำ ส่วนของพืชที่ถูกอากาศจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกิดปฏิกิริยาการเติมออกซิเจนของสารจำพวกฟีนอล และโพลีฟีนอล โดยเอนไซม์ชนิดเดียว แต่มีชื่อเรียกต่างๆกัน ได้แก่ ฟีนอลออกซิเดส ฟีนอลเลส โพลีฟีนอลออกซิเดส และโพลีฟีนอลเลส การป้องกันไม่ให้เกิดสีน้ำตาลมีอยู่หลายวิธี เช่น เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เก็บเพื่อไม่ให้ได้ไปสัมผัสกับอาหารได้มากขึ้น หรือเอาออกซิเจนออก ไม่ให้ไปสัมผัสกับอากาศ และทำลายเอนไซม์
2. เกิดโดยที่ไม่มีเอนไซม์
ปฏิกิริยาระหว่างสารประกอบที่มีไนโตรเจนกับน้ำตาล
ปฏิกิริยาระหว่างกรดอินทรีย์กับน้ำตาล
ปฏิกิริยาระหว่างสารประกอบที่มีไนโตรเจรและกรดอินทรีย์
2.1.5   รสชาติของผักและผลไม้
รสชาติของผักและผลไม้มาจากสารหลายอย่าง ส่วนใหญ่มาจากกรด น้ำตาลและสารที่ระเหยได้ และอาจมีสารแต่ละอย่างอยู่ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น
กรดในพืช ผักและผลไม้ทุกชนิดมีฤทธิ์เป็นกรด และแต่ละชนิดก็มีกรดหลายอย่าง กรดสามารถพบได้ที่ใบ ก้าน ผล

สารประกอบที่มีกำมะถัน อยู่ในพืช3ลักษณะ คืออยู่ในกรดอะมิโน อยู่ในสารที่ระเหยได้ และอยู่ในเกลือซัลเฟต สารประกอบที่มีกำมะถันสลายตัวเมื่อถูกกรดหรือด่าง หรือถูกย่อยโดยเอนไซม์หรือด้วยความร้อน จะมีกลิ่นกำมะถันของไฮโดรเจนซัลไฟต์ หรืออัลลิลซัลไฟต์ หรืออัลลิล ไอโซไธโอไซยาเนท สารประกอบที่มีกำมะถันเป็นสารที่ให้กลิ่นสำคัญในผักสองประเภท คือ ตระกูลหอม และตระกูลกะหล่ำปลี กลิ่นของกระเทียมเกิดจากสารอัลลิอิน การทุบหรือสับกระเทียมช่วยให้กระเทียมมีกลิ่นหอมขึ้น เพราะช่วยปล่อยเอนไซม์ออกจากเซลล์ ในน้ำมันที่สกัดจากกระเทียมมีกลิ่นแรงมาก เพราะมีไดอัลลินไดซัลไฟต์อยู่ถึงร้อยละ60
2.1.6 ความกรอบของผักและผลไม้
เนื้อสัมผัสของผักและผลไม้ขึ้นอยู่กับเซลลูโลสในเนื้อเยื่อที่เป็นโครงสร้างของพืช และปริมาณน้ำภายในเซลล์ ผักสดกรอบเพราะมีน้ำในเซลล์มาก เมื่อน้ำเข้าไปในเซลล์ เซลล์จะพองและเต่งขึ้น เกิดแรงดันที่เรียกว่า แรงเต่ง ถ้าหากผนังยืดหยุ่นได้มาก ผนังเซลล์ก็จะไม่ขาด เมื่อใดที่น้ำเคลื่อนออกจากเซลล์มากเกินไป ผักและผลไม้จะเหี่ยวและไม่กรอบ การที่น้ำเข้าไปในเซลล์ได้เพราะมีแรงดันออสโมซิสดันใหน้ำเคลื่อนที่จากสารละลายที่เจืองจางซึ่งอยู่ภายนอกเซลล์ไปยังสารละลายที่เข้มข้นกว่าภายในเซลล์ โดยผ่านผนังชนิดที่ยอมให้สารบางชนิดเข้าออกได้ ความเต่งของเซลล์ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารละลายในเซลล์ เมื่อพืชมีชีวิตอยู่ จะสูญเสียน้ำออกทางปากใบ ยิ่งตอนกลางวัน ปากใบยิ่งเปิดกว้าง แต่พืชก็ได้น้ำชดเชยกับที่เสียไป โดยดูดขึ้นมาจากรากและลำต้น เมื่อเซลล์ของผักและผลไม้ยังเป็นส่วนหนึ่งของพืช จึงมีความเต่งเสมอ เมื่อเด็ดผักหรือผลไม้ออกมาจากลำต้นแล้ว ต้องระวังอย่าให้น้ำระเหยออกไปมาก ความกรบก็จะลดลง
2.1.7 การเปลี่ยนแปลงในผักและผลไม้หลังเก็บเกี่ยว
ผักและผลไม้เมื่อเก็บใหม่ๆจะอร่อย และกรอบ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่เมื่อเก็บไว้นานก็จะเกิดสิ่งเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ยิ่งถ้าอากาศร้อนก็จะยิ่งทำให้เสื่อมคุณภาพเร็วมาก เราไม่ควรเก็บผลไม้ไว้ค้างคืน ควรนำไปแช่ตู้เย็นในกรณีที่ยังกินไม่หมด
ก่อนเก็บ ผักและผลไม้ได้รับน้ำ คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ จากท่อส่งน้ำและอาหาร หลังจากที่เด็ดมันออกมาจากลำต้น อาหารในเซลล์ก็จะค่อยๆหมดไป เซลล์ต่างๆที่ยังมีชีวิตก็ยังหายใจเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและยังมีการคายน้ำอยู่ และยังมีกระบวนการทางเคมีต่างๆเกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลในผลไม้ การเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแป้งในข้าวโพด แต่ว่าไม่มีการสังเคราะห์แสง การปล่อยให้ผักและผลไม้เป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆจะทำให้เน่าเสียได้

การหายใจ พืชต้องการออกซิเจนไปเผาผลาญอาหาร ผลที่ได้คือ น้ำ ความร้อน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 10 องศา พืชจะหายใจเร็วขึ้น 2 เท่า การหายใจของพืชเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้พืชเน่า มีผลโดยตรงต่อการเก็บ
การระเหยน้ำ ผักและผลไม้ที่มีชีวิตอยู่จะคายน้ำสู่บรรยากาศตลอด น้ำระเหยในตอนกลางวันมากกว่าตอนกลางคืน ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง พืชจะระเหยน้ำได้มากกว่าที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ ถ้าอากาศมีความชื้นสูง น้ำก็จะระเหยช้า ถ้าอากาศมีความชื้นน้อย น้ำก็จะระเหยออกไปอย่างรวดเร็ว ในที่ที่ลมพัดผ่าน ลมจะพัดเอาไอน้ำระเหยออกจากผักและผลไม้ไปที่อื่น อากาศในที่นั่นก็จะมีไอน้ำน้อยลง น้ำจะระเหยออกจากพืชเรื่อยๆการสูญเสียน้ำตาล ผักที่เก็บไว้นานๆ จะไม่หวานเท่ากับผักสด ในระหว่างเก็บ น้ำตาลในผักจะลดน้อยลงเนื่องจากถูกเอาไปใช้ในการหายใจ และถูกเปลี่ยนเป็นแป้ง ผักที่มีรอยช้ำ จะมีอัตรการสูญเสียน้ำตาลและการหายใจสูงขึ้น และยังทำให้จุลินทรีย์สามารถเข้าไปในผักตามรอยช้ำ ทำให้ผักเสียเร็ว


การสุกของผลไม้ เมื่อเก็บผักออกมาจากลำต้น ผักก็ยังมีการหายใจโดยใช้ออกซิเจน และคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
 2.2 จังหวัดสตูล
2.2.1ขนาดและที่ตั้ง
จังหวัดสตูลเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทยทางชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นชายฝั่งทะเลทางด้านตะวันตกของประเทศไทย อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 6 องศา 4 ลิปดา ถึง 7 องศา 2 ลิปดาเหนือ กับเส้นแวงที่ 99 องศา 5 ลิปดา ถึง 100 องศา 3 ลิปดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 973 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 2,478.997 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,549,361 ไร่ เป็นลำดับที่ 63 ของประเทศ และลำดับที่ 12 ของภาคใต้ รองลงมาคือ จังหวัดปัตตานีและจังหวัดภูเก็ต มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดตรังทางทิศเหนือ จังหวัดสงขลาทางทิศตะวันออก และรัฐปะลิส ประเทศมาเลเซียตลอดแนวชายแดน (ทางทิศใต้) ยาวประมาณ 56 กิโลเมตร ติดต่อฝั่งอันดามันยาวประมาณ 144.8 กิโลเมตร เป็นพื้นที่เกาะประมาณ 88 เกาะ
2.2.2ภูมิประเทศ
พื้นที่จังหวัดสตูลทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกเป็นเนินเขาและภูเขาสลับซับซ้อน โดยมีทิวเขาที่สำคัญแบ่งเขตประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย คือ ทิวเขาบรรทัดและทิวเขาสันกาลาคีรี พื้นที่ของจังหวัดค่อย ๆ ลาดเอียงลงสู่ทะเลด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ โดยยังมีภูเขาน้อยใหญ่อยู่กระจัดกระจายในตอนล่าง ภูเขาที่สำคัญ ได้แก่ เขาจีน เขาบารัง เขาใหญ่ เขาทะนาน และเขาพญาวัง และมีที่ราบแคบ ๆ ขนานไปกับชายฝั่งทะเล ถัดจากที่ราบลงไปเป็นพื้นที่ป่าชายเลนน้ำเค็มขึ้นถึง อุดมไปด้วยป่าแสมและป่าโกงกาง สตูลเป็นจังหวัดที่ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน คงมีแต่ลำน้ำสั้น ๆ ต้นน้ำเกิดจากภูเขาทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของจังหวัด
2.2.3ภูมิอากาศ
พื้นที่จังหวัดสตูลได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านอ่าวไทย และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากมหาสมุทรอินเดีย ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น มี 2 ฤดู คือ
ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 21.6-39.5 องศาเซลเซียส
ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 21.9-38.8 องศาเซลเซียส
ระหว่างปี พ.ศ. 2543-2547 ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 2,318 มิลลิเมตร ตกชุกที่สุดในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 32.72 องศาเซลเซียส ต่ำสุดเฉลี่ย 23.51 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดวัดได้ 38.4 องศาเซลเซียส เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2545 และอุณหภูมิต่ำสุดวัดได้ 19.2 องศาเซลเซียส เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2543 และเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545
2.2.4หน่วยการปกครอง
การปกครองแบ่งออกเป็น 7 อำเภอ 36 ตำบล 257 หมู่บ้าน
อำเภอเมืองสตูล
อำเภอควนโดน
อำเภอควนกาหลง
อำเภอท่าแพ
อำเภอละงู
อำเภอทุ่งหว้า
อำเภอมะนัง
2.2.5ประชากร
ชุมชนริมน้ำของสตูลขนมบุหงาปูดะ หรือขนมดอกลำเจียก ขนมพื้นเมืองของจังหวัดสตูล
จังหวัดสตูลเป็นหนึ่งใน 4 จังหวัดของประเทศไทยที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งมีมากถึงร้อยละ 67.8 ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายมลายู มีมัสยิดกลางประจำจังหวัดคือ มัสยิดมำบังรองลงมาคือชาวพุทธซึ่งมีอยู่ร้อยละ 31.9 มีวัดทั้งหมด 30 แห่งและที่เหลือคือศาสนาคริสต์ ซึ่งศาสนสถานอยู่ 3 แห่งในเขตอำเภอเมืองสตูล ทุ่งหว้า และละงูในจังหวัดประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ในจำนวนนี้มีประชากรร้อยละ 9.9 อ้างว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากชาวมลายู โดยชาวไทยเชื้อสายมลายูในสตูลมีความแตกต่างจากชาวไทยเชื้อสายมลายูในแถบปัตตานี แต่จะมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับชาวมาเลย์ในรัฐเกดะห์ (ไทรบุรี) และได้รับการผสมผสานกับอิทธิพลของวัฒนธรรมไทย[8] ชาวสตูลที่มีเชื้อสายมลายูแต่เดิมใช้ภาษามลายูเกดะห์[9] ในการสื่อสาร แต่ในช่วงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งร้อยปีชาวสตูลก็ลืมภาษามลายูถิ่นของตน เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีไม่มีใครพูดภาษามลายูถิ่นได้เช่นเดียวกับเยาวชนในตัวเมืองปัตตานีและยะลา แต่ยังเหลือประชาชนที่ยังใช้ภาษามลายูถิ่นได้ 13 หมู่บ้านใน 3 ตำบล คือ ตำบลเจ๊ะบิลัง ตำบลตำมะลัง และตำบลบ้านควนเท่านั้นที่ยังใช้ในการอ่านคุตบะห์บรรยายธรรมในมัสยิดนอกนั้นในชีวิตประจำวันชาวสตูลนิยมพูดภาษาไทยมากกว่า ซึ่งแตกต่างจากชาวไทยเชื้อสายมลายูในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสที่ร้อยละ 80 ยังใช้ภาษามลายูได้ มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่เป็นกลุ่มสังคมเมืองซึ่งพูดมลายูได้เล็กน้อยหรือพูดปนภาษาไทยอย่างไรก็ตามอิทธิพลทางด้านภาษามลายูถิ่นในจังหวัดสตูลนั้นยังมีให้เห็นทั่วไป เช่น เกาะตะรุเตา (มาจากคำว่า ตะโละเตา แปลว่า อ่าวเก่าแก่), อ่าวพันเตมะละกา (แปลว่า ชายหาดที่มีชาวมะละกา), อุทยานแห่งชาติทะเลบัน (มาจากคำว่า ลาอุตเรอบัน แปลว่า ทะเลยุบ) เป็นต้น[12] แต่หลายพื้นที่ได้เปลี่ยนแปลงชื่อให้เป็นภาษาไทยไป เช่น อำเภอสุไหงอุเป (มีความหมายว่า คลองกาบหมาก) ได้เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอทุ่งหว้า, บ้านปาดังกะจิ เปลี่ยนเป็น บ้านทุ่งนุ้ย, บ้านสุไหงกอแระ เปลี่ยนเป็น บ้านคลองขุด เป็นอาทิในปี พ.ศ. 2554 จังหวัดสตูลได้มีการนำหลักสูตรสอนภาษามลายูกลางใน 7 โรงเรียนคือ โรงเรียนบ้านควน โรงเรียนบ้านเจ๊ะบิลัง โรงเรียนบ้านทุ่งมะปรัง โรงเรียนบ้านแป-ระเหนือ โรงเรียนบ้านสนกลาง โรงเรียนบ้านปากบารา และโรงเรียนบ้านปากละงู ซึ่งในโรงเรียนบ้านควนมีผลการจัดการสอนที่น่าพึงใจ นักเรียนสามารถใช้ภาษามลายูกลางกับนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวมาเลเซียได้ และนำไปสู่การประเมินผล และขยายไปยังโรงเรียนอื่น ๆแม้ว่าในอดีตสตูลจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสุลต่านแห่งไทรบุรี แต่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ รวมไปถึงเหตุผลด้านภูมิศาสตร์สตูลจึงนิยมติดต่อกับสงขลามากกว่าไทรบุรี ทำให้ได้รับอิทธิพลทางประเพณีและวิถีชีวิตอย่างสูงจากสงขลาชาวไทยเชื้อสายมลายูมุสลิมได้แต่งงานข้ามกันกับชาวไทยพุทธโดยไม่มีความตึงเครียดทางศาสนา ทำให้เกิดกลุ่มสังคมที่เรียกว่า ซัมซัม (มาเลย์: Samsam) ซึ่งในภาษามลายูแปลว่า ลูกครึ่ง  ซัมซัมส่วนใหญ่ก็มิได้นับถือศาสนาอิสลามเสมอไป
2.3 ภาษาถิ่น
      2.3.1 ภาษาถิ่น เป็นภาษาย่อยที่ใช้พูดจากันในท้องถิ่นต่าง ๆ  ซึ่งเกิดจากการใช้ภาษาเพื่อการสื่อความหมาย  ความเข้าใจกันระหว่างผู้คนที่อาศัยอยู่ตามท้องถิ่นนั้น ๆ   ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากมาตรฐาน หรือภาษาที่คนส่วนใหญ่ของแต่ละประเทศใช้กัน  และอาจจะแตกต่างจากภาษาในท้องถิ่นอื่นทั้งทางด้านเสียง คำและ การใช้คำ  ภาษาถิ่น เป็นภาษาที่มีลักษณะเฉพาะ ทั้งถ้อยคำ และสำเนียง  ภาษาถิ่นจะแสดงถึงเอกลักษณ์  ลักษณะความเป็นอยู่  และวิถีชีวิตของผู้คน ในท้องถิ่นของแต่ละภาค ของประเทศไทย  บางทีเรียกว่า ภาษาท้องถิ่น   และหากพื้นที่ของผู้ใช้ภาษานั้นกว้างก็จะมีภาษาถิ่นหลากหลาย  และมีภาถิ่นย่อย ๆ ลงไปอีก   เช่นภาษาถิ่นใต้  ก็มีภาษาสงฃลา  ภาษานคร  ภาษาตากใบ  ภาษาสุราษฎร์  เป็นต้น   ภาษาถิ่นทุกภาษาเป็นภาษาที่สำคัญในสังคมไทย เป็นภาษาที่บันทึกเรื่องราว ประสบการณ์ และวัฒนธรรมทุกแขนงของท้องถิ่น เราจึงควรรักษาภาษาถิ่นทุกถิ่นไว้ใช้ให้ถูกต้อง เพื่อเป็นสมบัติมรดกของชาติต่อไป  ซึ่งภาษาถิ่นจะเป็นภาษาพูด  หรือภาษาท่าทางมากกว่าภาษาเขียนภาษาถิ่นของไทยจะแบ่งตาม ภูมิศาสตร์หรือท้องถิ่นที่ผู้พูดภาษา นั้นอาศัยอยู่ในภาค ต่าง ๆ แบ่งได้เป็น 4  ถิ่นใหญ่ ๆ  คือ ภาษาถิ่นกลาง  ภาษาถิ่นเหนือ  ภาษาถิ่นอีสานและภาษาถิ่นใต้
       
2.3.2 ภาษาถิ่นภาคใต้
ภาษาถิ่นใต้  ได้แก่ ภาษาถิ่นที่ใช้สื่อสารอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ของประเทศไทย ลงไปถึงชายแดนประเทศมาเลเซีย รวม  14  จังหวัด เช่น ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต พัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช  เป็นต้น และบางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ภาษาถิ่นใต้   ยังมีภาษาถิ่นย่อยลงไปอีก เป็นภาษาถิ่นใต้ ภาคตะวันออก  เช่น ภาษาถิ่นที่ใช้ใน จังหวัดนครศรีธรรมราช  พัทลุง สงขลา  ปัตตานี  ตรัง  สตูล   ภาษาถิ่นใต้ตะวันตก  เช่น  ภาษาถิ่นที่ใช้ในจังหวัดกระบี่  พังงา  ระนอง  สุราษฎร์ธานีและชุมพร  และภาษาถิ่นใต้สำเนียงเจ๊ะเห  เช่น  ภาษาถิ่นที่ใช้ในจังหวัดนราธิวาส และ  ปัตตานี    ในแต่ละภาคก็จะมีภาษาถิ่นใต้ เป็นภาษาถิ่นย่อยลงไปอีก เช่น  ภาษาถิ่นระนอง ภาษาถิ่นภูเก็ต ภาษาถิ่นพัทลุง ภาษาถิ่นสงขลา เป็นต้น ภาษาถิ่นย่อยเหล่านี้อาจจะมีเสียง และคำที่เรียกสิ่งเดียวกันแตกต่างกันออกไป 
บทที่ 3
วิธีดำเนินการทดลอง
3.1 วัสดุอุปกรณ์
3.1.1 กระดาษ
3.1.2 ปากกา
3.1.3 ดินสอ
3.1.4 ยางลบ
3.1.5 ไม้บรรทัด
3.1.6 น้ำยาลบคำผิด
3.2 วิธีการดำเนินการทดลอง
3.2.1  กำหนดรายชื่อผลไม้ที่ต้องการศึกษา
3.2.2 กำหนดช่องทางการหาข้อมูล
3.2.3เริ่มสำรวจข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ที่กำหนด
3.2.4 บันทึกข้อมูลที่ได้ลงในตารางบันทึกข้อมูล
3.2.5 สรุปข้อมูลที่ได้
ตัวอย่างตารางบันทึกข้อมูล
ลำดับ
รูปภาพประกอบ
อำเภอ
ชื่อ
เมือง
ท่าแพ
ทุ่งหว้า
ละงู
มะนัง
ควนกาหลง
ควนโดน









































จังหวัดสตูลไม่เหมือนจังหวัดมุสลิมอื่นในไทย เนื่องจากไม่มีประวัติศาสตร์การเผชิญหน้ากับศูนย์กลางการปกครองในกรุงเทพมหานครหรือความตึงเครียดระหว่างชาวไทยพุทธ ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ในประเทศไทย

อภิปรายผล
มังคุด ทั้ง 7 อำเภอ เรียกเหมือนกันคือ มังคุด
ทุเรียน อำเภอเมือง ท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู และควนโดน เรียกว่า ทุเรียน ส่วน อำเภอมะนังและควนกาหลง เรียกว่า เรียน
สับปะรด อำเมือง ท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู และควนโดน เรียกว่า ลูกเรียน ส่วน อำเภอ มะนัง และควนกาหลงเรียกว่า เรียน
แตงโม อำเภอเมือง ละงู และควนโดน เรียกว่า ลูกแตง ส่วน อำเภอ ท่าแพ ทุ่งหว้า และควนกาหลง เรียกว่า แตงจีน
เงาะ ทั้ง 7 อำเภอ เรียกเหมือนกันคือ เงาะ
ลองกอง ทั้ง 7 อำเภอ เรียกเหมือนกัน คือ ลองกอง
ส้ม อำเภอเมือง ควนกาหลง เรียกว่า ส้มแป้น ส่วน อำเภอควนโดน เรียกว่า ลูกส้ม และอำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู และมะนัง เรียกว่า ส้ม
มะม่วง ทั้ง 7 อำเภอ เรียกเหมือนกัน คือ ลูกม่วง
มะละกอ อำเภอเมือง ละงู มะนัง และควนกาหลง เรียกว่า ลอกอ ส่วนอำเภอ ท่าแพ ทุ่งหว้า และควนโดน เรียกว่า ตาหลา
ชมพู่ อำเภอเมือง ละงู มะนัง และควนกาหลง เรียกว่า ชมโพ่ ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า และควนโดน เรียกว่า ยาหมู
องุ่น ทั้ง7 อำเภอเรียกเหมือนกันคือ องุ่น
ส้มโอ อำเภอเมือง ท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า ส้มโอ ส่วนอำเภอมะนัง เรียกว่า ลูกส้มโอ
ฝรั่ง ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ชมพู่
มะพร้าว ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ลูกพร้าว
ลำไย ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ลำไย
ขนุน อำเภอเมือง ท่าแพ ละงูและควนกาหลง เรียกว่า ลูกหนุน ส่วนอำเภอทุ่งหว้า มะนัง และควนโดน เรียกว่า หนุน
ข้าวโพด ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า คง
แก้วมังกร ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า แก้วมังกร
มะกอก อำเภอเมือง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า มะกอก ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู และมะนัง เรียกว่า ลูกกอก
จำปะดะ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า จะดะ
เสาวรส ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า เสารส
น้อยหน่า ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า น้อยหน่า
กระท้อน ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ลูกท้อน
เหมี่ยว  อำเภอเมือง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า มะเหมี่ยว  ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู และมะนัง เรียกว่า อาหมู
ระกำ อำเภอเมือง มะนัง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า ลูกกำ ส่วน อำเภอ ท่าแพ ทุ่งหว้า และละงู เรียกว่า สละ
มะขาม อำเภอมะนัง และควนกาหลง เรียกว่า ส้มขาม ส่วนอำเภอ เมือง ท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู และมะนัง เรียกว่าลูกขาม
มะยม ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันคือ มะยม
กล้วย ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันคือ กล้วย
ทับทิม 7 อำเภอเรียกเหมือนกันคือ ทับทิม
ลิ้นจี่ 7 อำเภอเรียกเหมือนกันคือ ลิ้นจี่
มะเฟือง อำเภอเมือง เละละงูเรียกว่า มะเฟือง ส่วนอำเภอท่าแพ ทุ้งหว้า มะนัง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า ลูกเฟือง
มะปราง อำเภอเมือง เละละงูเรียกว่า มะปราง ส่วนอำเภอท่าแพ ทุ้งหว้า มะนัง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า ลูกปราง
ละไม อำเภอเมือง ท่าแพ เละทุ่งหว่า เรียกว่า ละไม ส่วนอำเภอ ละงู มะนง ควยกาหลง ควนโดนเรียกว่า ลูกละไม
พุทรา ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า พุทรา
ตะขบ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ลูกขบ
อ้อย ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า อ้อย
มะม่วงหิมพานต์  อำเภอท่าแพ รียกว่าและทุ่งหว้า ยาร่วง ส่วนอำเภอเมือง ละงู มะนัง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า หัวครก
พริก ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ลีปลี
มะเขือเปราะ อำเภอเมืองเรียกว่า ลูกเขือกลม อำเภอควนโดนเรียกว่า ลูกเขืออ้อร้อ ส่วนอำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู มะนง และควนกาหลง เรียกว่า ลูกเขือ
มะเขือพวง ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า เขือช้อย
มะเขือยาว ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า มะเขือยาว
มะเขือเทศ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า มะเขือเทศ
มันเทศ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า มนเทศ
เผือก ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า เผือก
บอน ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า หัวบอน
สะตอ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ลูกตอ
ขมิ้น ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ขี้ขมิ้น
มะนาว อำเภอเมือง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า ลูกนาว ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู มะนัง เรียกว่า ส้มนาว
ใบมะกรูด ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ใบกรูด
ข่า ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ข่า
ตะไคร้ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ไคร้
ยี่หร่า อำเภอเมือง และอำเภอละงู เรียกว่า ยี่หร่า ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ้งหว้า มะนัง ควนกาหลง และควนโดนเรียกว่า ใบลา
กระเทียม ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า หัวเทียม
กระเพรา ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ใบกระเพรา
พริกไทยดำ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า พริกไทย
ฟัก ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ขี้พร้า
ฟักทอง ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า น้ำเต้า
มะระ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า มะระ
โหระพา ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า โหระพา
ดอกกะหล่ำ อำเภอเมือง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า ดอกกะหล่ำ ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู มะนังเรียกว่า ดอกผัก
กะหล่ำปี อำเภอเมือง และละงู เรียกว่า กะหล่ำปี ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า มะนง ควนกาหลง ควนโดน เรียกว่า กะหล่ำ
ดอกแค ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ดอกแค
ฟักข้าง อำเภอเมือง และละงู เรียกว่า ฟักข้าว ส่วนอำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า มะนนังควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า ขี้พร้าไฟ
หอมแดง ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า หัวหอม
พริกแห้ง ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ลีปลีแห้ง
ปลีกล้วย อำเภอเมือง และละงู เรียกว่า ปลีกล้วย ส่วน อำเภอ ท่าแพ ละงู มะนัง ควนกาหลง ควนโดน เรียกว่า หัวปลี
แตงกว่า อำเภอ ละงู ควนโดน เรียกว่า ลูกแตง ส่วนอำเภอเมืองท่าแพ ทุ้งหว้า ละงูมะนัง เรียกว่า แตงกวา
ใบบัวบก อำเภอ ท่าแพ และทุ้งหว้า เรียกว่า บัวบก ส่วน อำเภอเมือง ละงู มะนง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่า ใบบัวบก
ใบย่านาง อำเภออำเภอเมือง มะนัง ควนกาหลง เรียกว่า ใบย่านาง
ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ้งหว้า ควนโดน เรียกว่าย่านาง
ใบเตย อำเภออำเภอท่าแพ ละงูเรียกว่า เตยหอม ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ้งหว้ามะนัง ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่าใบเตย
สาก อำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า มะนัง เรียกว่า สากเบือ ส่วนเมือง ละงู ควนกาหลงและควนโดน เรียกว่า สาก
ลังถึง ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ซึ้ง
กระทะ อำเภอเมือง เรียกว่า กระทะ ส่วนอำเภอทุ้งหว้า ละงู มะนัง ควนกาหลง ควนโดน เรียกว่า ท๊ะ
ตะหลิว อำเภอเมือง เรียกว่า ตะหลิวส่วนอำเภอทุ้งหว้า ละงู มะนัง ควนกาหลง ควนโดน เรียกว่า ช้อนขี่
กะละมัง ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า โคม
ครก ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ครก
ตะเกียบ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า เกียบ
กระติกน้ำร้อน อำเภอเมืองและ ควนกาหลงเรียกว่า กระติกน้ำร้อน ส่วนท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู มะนัง และควนโดน เรียกว่าติกน้ำร้อน
กระบอกน้ำ อำเภอเมือง ท่าแพ ละงูกระบอกน้ำ อำเภอเมือง ท่าแพ ละงู มะนังและ ควนโดน เรียกว่า บอกน้ำ
กระติก อำเภอเมือง ท่าแพ ละงู มะนัง เรียกว่า ติก ส่วน ละงู ควนกาหลงและควนโดน เรียกว่า ติกน้ำแข็ง
ตะกร้า อำเภอเมือง ละงูควนกาหลง เรียกว่า ตะกร้า ส่วน ท่าแพ ทุ่งหว้า มะนง และควนโดน เรียกว่า ช๊ะ
กล่องใส่อาหาร  อำเภอเมือง ท่าแพ ควนกาหลง เรียกว่า ตั๊บเปลแวร์  ส่วน ทุ้งหว้า ละงู มะนัง และ ควนโดน เรียกว่า กุบ
จวัก ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า จวัก
ทัพพี อำเภอเมือง ท่าแพ ทุ่งหว้า ควนกาหลงเรียกว่าจวัก ส่วน อำเภอเมือง มะนัง เรียกว่า หวักแบน
มีด ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า มีด
เขียง ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ดานเขียง
แก้วน้ำ อำเภอเมือง ละงู ควนกาหลง เรียกว่า แก้วส่วนอำเภอ ท่าแพ ทุ่งหว้า มะนัง ควนโดน เรียกว่า จอก
มีดปอก อำเภอเมือง ท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู ควนโดนเรียกว่า มีด ส่วนอำเภอ มะนัง ควนกาหลัง เรียกว่า มีดปอก
กระต่ายขูดมะพร้าว อำเภอเมือง  มะนัง เรียกว่าที่ขูดพร้าว ส่วน อำเภอท่าแพ ทุ่งหว้า ละงูควนโดน ควนโดน เรียกว่า เหล็กขูด
ที่ขูดผัก ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ที่ขูด
กาต้มน้ำ อำเภอ เมือง ท่าแพ ทุ่งหว้า มะนัง ควนกาหลง ควนโดน เรียกว่า กาต้มน้ำ  ส่วน อำเภอละงูเรียกว่า กา
ถ้วยกาแฟ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า แก้วกาแฟ
ช้อนโต๊ะ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ช้อน
ช้อนชา อำเภอเมือง มะนังเรียกว่า ช้อนกาแฟ ส่วน ท่าแพ ทุ่งหว้า ละงู ควนกาหลง และควนโดน เรียกว่าช้อนกาแฟ
หม้อ ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า หม้อ
ชาม ทั้ง 7 อำเภอเรียกเหมือนกันว่า ชาม
5.3 ข้อเสนอแนะ
5.3.1ควรเพิ่มชนิดให้มากกว่านี้
5.3.2อาจศึกษาภาถิ่นภาคอื่นด้วยในโอกาสหน้า





















1 ความคิดเห็น: